Scottish Rugby TV สุขภาพ ปวดส้นเท้ามาก แก้ไขอย่างไรดี ?

ปวดส้นเท้ามาก แก้ไขอย่างไรดี ?

ปวดส้นเท้า

อาการปวดส้นเท้า คือ ภาวะที่รู้สึกเจ็บปวดเมื่อลุกขึ้นยืนหรือลงน้ำหนักที่เท้า โดยคุณจะรู้สึกเจ็บแปลบ บวมแดงที่ด้านหลัง และด้านล่างของส้นเท้า อันเกิดจากการที่พังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ ซึ่งอาการเจ็บปวดเหล่านี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้เราไม่สามารถลุก ยืน เดิน วิ่ง ได้อย่างเป็นปกติ

  • สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณควรไปพบแพทย์
  • ปวดเท้ารุนแรง และส้นเท้าบวมแดงมาก
  • ขยับนิ้วหรือเท้าขึ้นลงไม่ได้
  • ชาบริเวณส้นเท้าและมีไข้สูงร่วมด้วย
  • สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้มีอาการปวดส้นเท้า
  • การลงน้ำหนักบนส้นเท้าตลอดเวลา หรือยืนเป็นเวลานาน
  • การวิ่งบนถนนคอนกรีต
  • การสวมใส่รองเท้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ
  • มีโรคประจำตัว อย่างเช่น โรคเบาหวานและโรคเก๊าท์
  • น้ำหนักตัวมากเกินไป
  • การรักษาและป้องกันอาการปวดส้นเท้าเบื้องต้น
  • ใช้ยาแก้ปวด หรือยาลดอาการอักเสบ
  • ใช้การประคบเย็นที่บริเวณที่ปวด 15-20 นาที
  • หยุดพักการใช้เท้า
  • เลือกใช้รองเท้าและแผ่นรองส้นเท้าที่มีประสิทธิภาพ เพื่อบรรเทาอาการปวดลดแรงกด

ทั้งนี้จะดีกว่าไหม หากเรามีตัวช่วยที่จะทำให้อาการเหล่านี้ทุเลาลง หรือไม่เกิดขึ้นอีกเลย นั่นก็คือ รองเท้าเพื่อสุขภาพนั่นเอง โดยปัจจุบันนี้หลายๆ แบรนด์รองเท้าได้ออกมาทำรองเท้าเพื่อสุขภาพราคาถูกขายกันอย่างมากมาย ซึ่งรองเท้าเพื่อสุขภาพราคาถูกนี้ จะทำให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข แถมรองเท้าเพื่อสุขภาพราคาถูกยังช่วยเซฟเงินในการรักษาตัวเกี่ยวกับอาการที่เกิดจากเท้าได้อีกด้วย 

ทำความรู้จักกับ รองเท้าเพื่อสุขภาพ

รองเท้าเพื่อสุขภาพ คือ รองเท้าที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อซัพพอร์ตเท้าโดยเฉพาะ ทั้งยังสามารถซับแรงกระแทกที่เกิดจากการเดินได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยรองเท้าสุขภาพที่ดีนั้นจะเป็นรองเท้าที่มีน้ำหนักเบา ขนาดพอดีกระชับเท้า วัสดุของรองเท้ามีความยืดหยุ่นสูง พื้นรองเท้ามีความนุ่มสบาย ช่วยตัวกระจายน้ำหนักของเท้า และที่สำคัญที่สุดคือเป็นรองเท้าที่มีรูปทรงรองรับอุ้งเท้า เพราะจะช่วยให้ไม่เกิดอาการรองช้ำ และอาการปวดของฝ่าเท้า

และที่สำคัญ การเลือกสวมใส่รองเท้าสุขภาพที่ดียังถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยดูแลข้อเข่าของเราให้มีอายุการใช้งานที่นานขึ้นอีกด้วย

Related Post

ชาเขียว

“ชาเขียว” ประโยชน์เน้น ๆ มากกว่าที่คุณคิด แต่ต้องดื่มเป็นถึงจะดีต่อสุขภาพร่างกาย“ชาเขียว” ประโยชน์เน้น ๆ มากกว่าที่คุณคิด แต่ต้องดื่มเป็นถึงจะดีต่อสุขภาพร่างกาย

หากถามว่าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพของคุณคืออะไร เชื่อว่าหลายคนคนจะบอกตรงกันว่าเป็นเครื่องดื่มที่มาจากชาและสมุนไพรอย่างแน่นอน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ชาเขียว” ที่นอกจากจะหอมอร่อยรสชาติดีมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว ยังจัดว่าเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย เรียกว่าเป็นหนึ่งในประเภทเครื่องดื่มที่มีประโยชน์เน้น ๆ ในทางสุขภาพจริง ๆ แต่อย่างไรก็ดีชาและสมุนไพรทุกชนิดนั้นก็ต้องรู้จักการดื่มกินและรู้จักใช้อย่างพอเหมาะด้วย อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดีแน่นอน มาดูกันดีกว่าว่าชาเขียวมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไรและต้องดื่มอย่างไรถึงจะเป็นประโยชน์ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย  ชาเขียวกับประโยชน์ต่อสุขภาพในเชิงการแพทย์  มีงานศึกษาวิจัยทางการแพทย์มากมายเกี่ยวกับคุณสมบัติหรือการออกฤทธิ์ในการดูแลสุขภาพร่างกาย และประโยชน์ในทางการแพทย์ของชาเขียว ซึ่งได้ชี้ให้เห็นว่าในพืชพันธุ์ที่เป็นชาและสมุนไพรชนิดนี้มีสารอาหารสำคัญอยู่หลายชนิด ซึ่งมีทั้งสารต้านอนุมมูลอิสระและ กรดอะมิโน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกายของคนเราทำให้ชาชนิดนี้สามารถจัดเป็นหนึ่งในอาหารเสริมเพื่อสุขภาพได้เช่นกัน โดยงานวิจัยหลายชิ้นได้กล่าวถึงสรรพคุณของชาชนิดนี้ว่ามีผลต่อสุขภาพและโรคภัยดังนี้  ส่งผลบวกต่อการรักษาโรคความดันโลหิตสูง: งานวิจัยได้ระบุว่าชาวจีนมีการดื่มชากันมาเนิ่นนานนับพัน ๆ ปี ซึ่งพบว่าคนจีนในสมัยโบราณมีสุขภาพที่แข็งแรง จึงมีการศึกษาค้นคว้าจากสมมุติฐานนี้ลงไป โดยมีการสุ่มหาอาสาสมัครกลุ่มตัวอย่างที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง และให้พวกเขาทำการดื่มชาเขียวในปริมาณ 120-599 มิลลิลิตรเป็นประจำทุกวันในระยะหนึ่ง ซึ่งผลปรากฎว่าเมื่อมาทำการวัดระดับความดันโลหิตอีกครั้ง อาสาสมัครเหล่านั้นมีความดันโลหิตอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แม้ว่าไม่ได้ลดจนถึงระดับปกติ แต่ก็ถือว่าลดลง อย่างไรก็ก็มีบางงานวิจัยระบุว่าชาไม่ได้มีผลอะไรต่อความดันโลหิตเลยก็มีเหมือนกัน จึงยังเป็นเรื่องที่ต้องศึกษากันต่อไป  ส่งผลต่อการป้องกันโรคกระดูดพรุน: มีการทดลองหนึ่งซึ่งเป็นทดลองที่ยาวนานมาก ให้อาสาสมัครดื่มชาเขียวต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ปี แล้วก็นำมาศึกษาวิเคราะห์ในเรื่องของความหนาแน่นของมวลกระดูก ซึ่งนักวิจัยพบว่าคนที่ดื่มชาเขียวต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ปีนั้นมีมวลกระดูกหนาแน่นมากขึ้นกว่ากลุ่มที่ไม่ดื่ม จึงคาดกันว่าชาเขียวน่าจะมีส่วนช่วยในเรื่องของการป้องกันโรคกระดูดพรุนได้  ชาเขียวแม้ดี แต่ถ้าดื่มไม่เป็นก็มีโทษ  ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมีข้อดีข้อเสียด้วยกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ชาและสมุนไพรที่โลกยกย่องว่าเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพชั้นดีด้วยเช่นกัน ในชาเขียวนั้นแม้ว่าจะมีสารอาหารสำคัญที่ดีต่อร่างกายมากมาย แต่ก็ยังมีสารประเภทคาเฟอีน สารโพลีฟีนอล และสารแทนนินอยู่สูงมากด้วย ฉะนั้น ถ้าคุณดื่มชาเขียวต่อวันมากเกินไป คือ ประมาณวันละ 4 – 5 ถ้วยขึ้นไป ก็อาจจะส่งผลทำให้คุณนอนไม่ค่อยหลับ รู้สึกอึดอัดไม่สบายในเวลานอนได้ บางคนก็อาจรู้สึกมีอาการหัวใจเต้นเร็วขึ้นหรือเต้นผิดจังหวะ อีกทั้งใครที่ต้องรับประทานยารักษาโรคบางอย่าง เช่นยาละลายลิ่มเลือด การดื่มชาเขียวมากเกินไปอาจทำให้ฤทธิ์ของยาลดลงได้ รวมไปถึงสารแทนนินที่มีอยู่ในชาเชียวอาจส่งผลต่อการดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกาย จึงไม่เหมาะกับคนที่อยู่ในภาวะธาตุเหล็กพร่องนั่นเอง  อย่างไรก็ดีก็ไม่ต้องกังวลมากไปเกี่ยวกับข้อเสียของชาเขียว ตราบใดที่คุณดื่มไม่มากเกินไปและไม่ดื่มบ่อยจนเกินไป ในหนึ่งวันอาจจะดื่มสัก 2-3 ถ้วยก็พอ คือตามจำนวนมื้ออาหาร และไม่จำเป็นต้องดื่มติดต่อกันทุกวันเสมอไป อาจจะวันเว้นวันก็ได้ เพียงเท่านี้คุณก็จะได้ประโยชน์เน้น ๆ ที่ดีต่อสุขภาพของชาและสมุนไพรรสชาติดีชนิดนี้แล้ว 

โรคเอชไอวีเป็นอย่างไรและมีการรักษาอย่างไรโรคเอชไอวีเป็นอย่างไรและมีการรักษาอย่างไร

ในปัจจุบันนี้ต้องบอกเลยว่าโรคเอชไอวีนั้นก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากๆเลยเพราะว่าในเรื่องของโรคนี้นั้นเราจะมองข้ามไปไม่ได้เลยเพราะว่าโรคเอชไอวีนั้นส่วนมากจะเกิดขึ้นได้จากการมีเพศสัมพันธ์เราจึงควรที่จะต้องยิ่งให้ความสำคัญและอย่าละเลยหรือมองข้ามไปเลยจังจะยิ่งดีเพราะว่าในเรื่องของโรคเอชไอวีจะสามารถติดต่อได้ง่ายถ้าหากเราไม่ป้องกันอาจจะทำให้เกิดอันตรายกับตัวเราเองได้อีกด้วย เอชไอวีนั้นคือเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทำให้เรานั้นอาจจะติดเชื้อโรคได้ง่ายอย่างมากเลยและเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ดีอย่างที่สุดที่เราเองก็ควรที่จะต้องให้ความสนใจมากๆด้วยเพราะยิ่งเราได้ให้ความสนใจแล้วจะไม่ทำให้เราเกิดเรื่องที่ไม่ดีด้วย คนที่ติดเชื้อเอชไอวีนั้นนอกจากจะติดจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัยแล้ว ก็ยังอาจจะเกิดขึ้นจากคนที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆอันนี้มีความเสี่ยงสูงอย่างมากที่จะทำให้เกิดโรคเอชไอวีขึ้นมาได้ เพราะทุกๆอย่างในเรื่องของโรคเอชไอวีนั้นจะสามารถติดต่อได้ไวในรายที่มีเพศสัมพันธ์แบบไม่สวมถุงยางอนามัย ซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยว่าคนๆนั้นมีโรคเอชไอวีหรือเปล่าสิ่งนี้จึงจะช่วยทำให้เรานั้นยิ่งต้องระมัดระวังและควรที่จะต้องมีการป้องกันด้วยก็จะส่งผลที่ดีอย่างที่สุด การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือการสักต่างๆที่ใช้เข็มเดียวกันนั้น อันนี้ก็สามารถติดเชื้อเอชไอวีผ่านทางบาดแผล ทั้งทางผิวหนังและช่องปาก การติดจากแม่สู่ลูกซึ่งเชื้อไวรัส HIV เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วแบ่งได้เป็น3ระยะได้แก่ระยะเริ่มแรกจะมีอาการที่ไม่มีอะไรปรากฎทำให้เราแทบไม่รู้ตัวเลยว่าเรามีการติดเชื้อเอชไอวี ระยะสุดท้ายระยะเอดส์ อันนี้จะเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV ที่มักเรียกกันว่า โรคเอดส์ ในระยะภูมิคุ้มกันจะถูกทำลายจนเสียหายอย่างหนัก ไม่สามารถต้านทานต่อเชื้อโรคใดๆได้และก็จะทำให้เรานั้นไม่สามารถที่จะรักษาให้หายขาดได้และร่างกายอาจจะมีตุ่มและมีน้ำเหลืองแตกมากมายเลยซึ่งระยะนี้ไม่ได้รับการรักษาอาจจะถึงขั้นเสียชีวิตอย่างเดียวเลย ทั้งหมดในเรื่องของโรคเอชไอวีนั้นหากเรารู้ตัวว่าเป็นก็รีบไปพบแพทย์เลยเพื่อทำการรักษาจะได้ไม่เกิดในระยะอื่นด้วยและที่สำคัญในเรื่องของโรคเอชไอวีนั้นเราจึงควรที่จะต้องตรวจเลือดเป้นประจำปีด้วยก็จะดีเพราะเราก็จะได้รู้ว่าร่างกายของเราเลือดไม่ผิดปกติอะไรนะ หรือถ้าหากตรวจเจอว่าเป้นเอชไอวีเพิ่งจะพบก็จะได้รักษาหายขาดได้เร็วขึ้นด้วย

ใช้สมุนไพรรักษาริดสีดวง ดียังไงใช้สมุนไพรรักษาริดสีดวง ดียังไง

ริดสีดวง เป็นโรคที่สร้างทั้งความเจ็บปวดทรมาน และความน่ารำคาญให้กับผู้ที่เป็นได้มากทีเดียว และโรคชนิดนี้ก็เกิดขึ้นได้ง่ายด้วย เพียงแค่รูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันที่เปลี่ยน ก็มีโอกาสเป็นได้ทันที โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของการกินและการขับถ่าย จะมีความเสี่ยงที่เกิดโรคริดสีดวงได้ง่าย หากเรารู้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าเป็น ก็ควรรีบใช้ สมุนไพรรักษาริดสีดวง รักษาทันที ในด้านการรักษาโรคริดสีดวงนั้นก็มีอยู่หลายวิธี ทั้งแบบพื้นบ้านด้วยการรักษาจากสมุนไพร กับแบบที่รักษาโดยแพทย์ปัจจุบัน แต่ตอนนี้เราจะมาดูข้อดีของการรักษาด้วยสมุนไพรกันก่อนว่ามีข้อดีอย่างไร เพราะสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาก็เป็นสมุนไพรไทยอยู่แล้ว ข้อดีของการใช้สมุนไพรในการรักษาริดสีดวง 1. หาได้ง่าย สมุนไพรที่ใช้ในการรักษาอย่างเช่น เพชรสังฆาต อักคีทวาร ว่าหางจระเข้ เป็นสมุนไพรที่หาได้ทั่วไปในบ้านเรา ในสมัยก่อนที่ความก้าวหน้าทางการแพทย์ยังไม่เท่ากับยุคนี้ ก็จะใช้สมุนไพรตามบ้านที่มีสรรพคุณในการรักษาเหล่านี้ เป็นตัวช่วยในการรักษา ซึ่งก็ได้ผลไม่แพ้กัน